
คุณเคยกินยาเม็ดสีขาวที่ดูธรรมดา แต่กลับรู้สึกดีขึ้นจนแปลกใจไหม? หรือเคยรับยาตัวใหม่แล้วรู้สึกวิตกจริตมากขึ้นทันทีโดยที่อาการแย่ลงทั้งที่ยังไม่ได้ออกฤทธิ์? สองความรู้สึกนี้มีชื่อเรียกเฉพาะ คือ placebo effect กับ nocebo effect ที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าเกิดจากสมองและจิตวิทยาของเราเอง ไม่ใช่ตัวยาโดยตรง ซึ่งความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อาจเปลี่ยนวิธีคิดของคุณเกี่ยวกับพลังของสมองและจิตใจต่อร่างกายแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
Placebo effect: เมื่อยาเม็ดแป้งเปลี่ยนชีวิต
Placebo (เพลซิโบ) คืออะไรก็ตามที่ดูเหมือนยา แต่จริงๆ แล้วไม่มีสารออกฤทธิ์ เวลาเข้ารับการทดลอง เช่น ยาแป้ง หรือสายน้ำเกลือ ผู้ป่วยจะไม่รู้ว่าตัวเองได้ยา "จริง" หรือ "ปลอม" ผลปรากฏ มีคนจำนวนไม่น้อยรู้สึกดีขึ้นหรืออาการต่างๆ ลดลงเหมือนได้รับการรักษาที่แท้จริง จุดเด่นของ placebo effect คืออิทธิพลจากจิตใจ ประสบการณ์ และความคาดหวัง
ตัวอย่างเด่นๆ เช่นการทดลองอาการปวดหัวในสหรัฐ ปี 2019 มีการให้อาสาสมัครทานเม็ดยาแป้งเปล่า แล้วให้ข้อมูลว่านี่เป็นยาแก้ปวดประสิทธิภาพใหม่ ปรากฏว่ากว่าครึ่งรู้สึกว่าอาการบรรเทาลง โดยที่ร่างกายยังไม่เคยโดนสารออกฤทธิ์เลย หลายกรณีมีบันทึกชัดว่าการปล่อยให้ร่างกายตอบสนองตามความเชื่อ ความหวัง หรือแรงบันดาลใจภายใน ทำให้สมองหลั่งสารสื่อประสาท เช่น เอ็นดอร์ฟิน (endorphin) ที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดหรือสร้างความสุข
จุดที่น่าสนใจแบบสุดๆ คือ นักวิจัยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเคยสรุปจากข้อมูลจริงว่า ปาฏิหาริย์ placebo effect ไม่ใช่แค่เรื่องยาหลอกใจ แต่ในบางกรณีอาจทำให้ร่างกายสั่งซ่อมแซมตัวเองได้จริง และอาจช่วยเสริมผลของยาจริงด้วย ในการรักษาอาการซึมเศร้าและโรคไมเกรน ผู้ป่วยเกินครึ่งตอบสนองกับ placebo อย่างได้ผลชัดเจน ขนาดที่ยารักษาโรคบางตัวต้องผ่านการเปรียบเทียบกับ placebo ก่อนจึงจะได้รับอนุมัติว่าวิธีการนั้นเวิร์กจริง ใช้ placebo เป็นบรรทัดฐานมาตรฐานในงานวิจัยทางการแพทย์สมัยใหม่
Nocebo effect: เมื่อความกลัวกลายเป็นอาการ
ในมุมกลับกัน ถ้า placebo effect คือการดีขึ้นจากความเชื่อทางบวก nocebo effect ก็คือการเกิดอาการข้างเคียงทั้งที่สิ่งนั้นไม่ได้มีพิษภัย สถานการณ์นี้พบบ่อยมากในโลกการแพทย์สมสมัย เมื่อผู้ป่วยเห็นฉลากยาหรือข้อมูลผลข้างเคียง แล้วกังวลจนเกิดอาการขึ้นจริงโดยไม่ได้เกี่ยวกับตัวยาเลย ไม่ว่าจะเป็นปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้ หรือแม้แต่เป็นไข้
มีงานศึกษาจากอเมริกาในปี 2020 พบว่าคนไข้กว่า 30% ที่เข้ารับเคมีบำบัด แม้จะได้สาร placebo แต่ก็รายงานอาการข้างเคียงสารพัดคล้ายกับได้รับยาจริง เรียกได้ว่าแค่ "คาดหวังว่าจะเจ็บปวด" สมองก็สร้างประสบการณ์จริงขึ้นมาทันที โดยเฉพาะกับผู้ที่เคยมีประสบการณ์เชิงลบกับการรักษา หรือได้รับข้อมูลผลข้างเคียงเยอะๆ
ปัจจัยที่เร่งให้เกิด nocebo effect มีทั้งประสบการณ์ในอดีต ความวิตกกังวลเป็นทุนเดิม หรือสถานการณ์รอบข้างที่ตอกย้ำความเชื่อว่าต้องแย่แน่ๆ อีกปมหนึ่งที่คนมักไม่รู้คือวิธีที่แพทย์ให้ข้อมูลกับคนไข้เกี่ยวกับยา ยิ่งแพทย์เน้นย้ำอาการข้างเคียงและความเสี่ยง คนฟังก็ยิ่งหวาดระแวงจนเกิดอาการได้ง่าย จึงเป็นเหตุผลใหญ่ที่แพทย์ยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการสื่อสารและสร้างกำลังใจให้กับคนไข้มากขึ้น
สถานการณ์ | Placebo effect | Nocebo effect |
---|---|---|
ใช้ยาแป้งแต่คาดหวังผลดี | รู้สึกดีขึ้น | - |
ใช้ยาหลอกแต่คิดว่าจะเกิดผลข้างเคียง | - | มีอาการข้างเคียงจริง |
อ่านข้อมูลผลลบมากเกินไป | - | อาการแย่ลงทั้งที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ |
ได้รับกำลังใจหรือบรรยากาศบวกขณะกินยา | อาการบรรเทา | - |

ข้อควรระวังและเคล็ดลับใช้ยาอย่างได้ผล
จิตใจเรามีอิทธิพลต่อการรักษาจริง แต่ในยุคข่าวสารล้นมือ คนไม่น้อยอ่านข้อมูลผลข้างเคียงยาแบบผิดๆ แล้วกลายเป็น nocebo effect ซะงั้น การรู้เท่าทันจิตใจจึงสำคัญมากในการใช้ยาอย่างปลอดภัย
- เชื่อใจในการประเมินของแพทย์และอย่าเพิ่มความวิตกด้วย Google หรือข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ
- อย่าเปรียบเทียบประสบการณ์ของตนเองกับคนอื่น เพราะพันธุกรรมและจิตวิทยาแต่ละคนต่างกัน
- ถ้ากังวลหรือรู้สึกผิดปกติหลังรับยา ควรแจ้งแพทย์อย่างตรงไปตรงมา เพื่อแพทย์จะปรับวิธีหรือมอบข้อมูลที่สมดุล
- หากได้ยาหลอก (placebo) ในงานวิจัย ไม่จำเป็นต้องลังเล เพราะถือเป็นการมีส่วนร่วมสำคัญในการพัฒนายาใหม่ๆ ที่ช่วยชีวิตคนในอนาคต
- สร้างบรรยากาศบวกให้กับชีวิต เช่น ฟังเพลงที่ชอบ ออกกำลังกาย หรือพูดคุยกับเพื่อน ลดความตึงเครียดซึ่งเป็นต้นตอของ nocebo effect หลายกรณี
หนึ่งในเคล็ดลับที่แพทย์และเภสัชกรมักแนะนำผู้ป่วยคือ หลีกเลี่ยงอ่านฉลากหรือข้อมูลที่น่ากังวลเกินจริงด้วยตนเอง แล้วให้แพทย์อธิบายผลข้างเคียงที่ควรรู้จริงแทน Better safe than sorry! และหากต้องอ่านข้อมูล ลองอ่านเฉพาะส่วนที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อไม่ให้ใจจดจ่อกับข้อมูลด้านลบมากเกินไปจนนำไปสู่อาการ placebo หรือ nocebo โดยไม่ตั้งใจ
บทบาทสำคัญของ placebo และ nocebo ในการแพทย์สมัยใหม่
Placebo และ nocebo ไม่ใช่เรื่องราวเสริมของวงการแพทย์อีกต่อไป แต่มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบวิธีทดลองยาและประเมินประสิทธิภาพทางการแพทย์ในระดับสากล หากไม่มีการใช้ placebo เป็นกลุ่มเปรียบเทียบ นักวิทยาศาสตร์ไม่มีทางรู้ว่ายาใหม่ได้ผลจริงหรือสมองเราเชื่อว่าตัวเองกำลังดีขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นแรงผลักให้การวิจัยทางการแพทย์ต้อง "ซึ่งห์ใจ" หรือ neutralize ความคาดหวังของทั้งคนไข้และแพทย์มากขึ้นเพื่อให้ผลลัพธ์ไม่บิดเบือนไปตามความรู้สึก
บทบาทของ placebo ไม่ได้หยุดอยู่แค่การทดลองยา ในบางแคมเปญสุขภาพระดับประเทศ เช่น การรณรงค์วัคซีน ก็ยกประเด็น placebo มาใช้เป็นวิธีควบคุมข้อมูลเพื่อให้ประชาชนเข้าใจตรงกัน และไม่เกิด nocebo effect รวมถึงปรับปรุงระบบการสื่อสารวงการแพทย์ให้ลดการสร้างความกลัวที่ไม่จำเป็น
อีกจุดหนึ่งที่ควรพูดถึงคือ ปฏิกิริยาของสมองและร่างกายต่อ placebo หรือ nocebo ไม่ใช่เรื่องจิตตกหรือคิดไปเองแบบที่หลายคนเข้าใจผิด แต่เป็นกระบวนการทางชีวเคมีที่ยืนยันได้ เช่น สมองจะเพิ่มการหลั่งสารโดพามีน เซโรโทนิน หรือสารยับยั้งการรับความเจ็บปวด ในรายที่เชื่อว่ายาตัวนั้นจะช่วยได้ และเมื่อหวาดกลัวมากขึ้น ร่างกายก็เพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด จนรบกวนระบบภูมิคุ้มกัน หรือสร้างอาการเจ็บต่างๆ ได้จริง
การเข้าใจ placebo และ nocebo effect จึงไม่ใช่แค่เรื่องวิทยาศาสตร์สุดลึกลับสำหรับนักวิจัยระดับโลก แต่คือความรู้ใกล้ตัวที่ทุกคนควรรู้และเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้เลย เพราะมนุษย์เราทุกคนมีโอกาสพลาดพลั้งให้กับอิทธิพลของจิตใจเมื่อต้องเผชิญกับการใช้ยา การดูแลสุขภาพ หรือกระทั่งผลการรักษาในโรงพยาบาล
ครั้งหน้า ถ้าต้องรับยาใหม่ ลองใส่ใจกับความรู้สึกตัวเองให้ดี หากรู้ว่ากำลังกลัวจนเกินไป หรือคาดหวังกับผลลัพธ์มากเกินเหตุ อาจลองขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือครอบครัว ปรับวิธีคิดและมองหาแง่บวก บางทีสมองของคุณเองนี่แหละ อาจกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการรักษาตัวเอง
เขียนความคิดเห็น