blog

ใบสั่งยาหนึ่งแผ่นอาจดูเหมือนอักษรลึกลับสำหรับคนทั่วไป บางใบคล้ายลายมือหมอเขียนสูตรกับข้าวในร้านอาหารเย็นวันศุกร์ อ่านไม่ออกสักนิด เภสัชกรกลับจับแต่ละบรรทัดได้ในเวลาไม่กี่วินาที กลับบ้านด้วยยาและวิธีใช้ครบถ้วนแบบไม่มีบกพร่อง จากประสบการณ์ในห้องยา ฉันเห็นเคสที่ผู้ป่วยแทบไม่เคยเข้าใจเลยว่าการอ่านใบสั่งยาคือการแปลภาษาพิเศษทั้งชุด ไม่ได้แค่ส่องหา 'ยาพารา' แล้วเอายาครึ่งแผงส่งให้จบ แต่เป็นงานที่ต้องลงรายละเอียดเยอะมากกว่าที่คิด มาดูกันว่าภาพจริงในร้านขายยา คุณหมอและเภสัชกรรับมือกับใบสั่งยาที่ยากขนาดนี้ได้อย่างไร

เข้าใจโครงสร้างใบสั่งยา จุดไหนสำคัญสุด

ใบสั่งยาที่หมอเขียนส่งถึงร้านขายยา ไม่ใช่แค่เอากระดาษเปล่ามาเขียนชื่อยาตามใจ ทุกแผ่นมีองค์ประกอบสำคัญที่เป็นมาตรฐานสำหรับทุกสถาบัน ได้แก่ ชื่อ-นามสกุลผู้ป่วย อายุ น้ำหนัก (โดยเฉพาะเด็ก) วันและเวลาสั่งยา ชื่อยาทั้งสามัญและการค้า ปริมาณยา รูปแบบยา (เช่น เม็ด เจล ครีม) จำนวนที่ต้องการ วิธีรับประทานหรือใช้ เวลาในการกิน และลายเซ็นแพทย์

เภสัชกรมองหาอะไรบ้างก่อนจ่ายยา? จุดสำคัญสุดคือชื่อยา วิธีใช้ ปริมาณ และตัวตนผู้ป่วย รวมถึงข้อห้ามใช้กับยาบางกลุ่ม เช่น หญิงตั้งครรภ์ คนแพ้ยา หรือโรคประจำตัว อย่าคิดว่าแค่หมอเขียนมาก็จ่ายได้เลย ทุกใบต้องผ่านสายตาแหลมคมของเภสัชกร ตั้งแต่การตรวจดู Field ชื่อยาและขนาด (Strength) เช่น Paracetamol 500 mg/เม็ด (ไม่ใช่ 325 หรือ 650)

มีข้อมูลว่า "ข้อผิดพลาดจากการจ่ายยามีโอกาสเกิด 1 ใน 100 ฉบับที่สั่ง" ดังนั้นสำหรับอุตสาหกรรมสุขภาพ การเช็กซ้ำทุกขั้น คือหัวใจของความปลอดภัย

ลับสมองอ่านลายมือหมอ: ทำอย่างไรไม่พลาด

ถ้ามีประกวด "ลายมืออ่านยากแห่งชาติ" หมอบางคนคงได้รางวัลอันดับต้นๆ มาตลอด ด้วยลายมือที่ดูเหมือนรหัสลับ ความเร็วในการจด และศัพท์ทางการแพทย์เต็มแผ่น ถามกันตรงๆ เภสัชกรอ่านได้ไง?

ทักษะนี้ฝึกได้ด้วยประสบการณ์+สายตา+รู้ศัพท์เฉพาะ บางคนมองแวบเดียวก็รู้ว่ายาอะไร โดยอาศัยรูปแบบการเขียนที่คุ้นเคย เช่น ยา BP (blood pressure – ยาความดัน) กลุ่ม ACE inhibitor มักลงท้ายด้วย -pril หรือยานอนหลับกลุ่ม benzodiazepine ลงท้ายด้วย -pam ทุกแผ่นเภสัชกรจะเทียบกับสูตรยาเดิมที่เคยเห็น หรือจะเช็กยากลุ่มเสี่ยง เช่น Warfarin (ยาละลายลิ่มเลือด) ต้องระวังสูงสุด

อีกวิธีคือโทรถามหมอถ้ามีข้อสงสัย ข่าวดีคือมีงานวิจัยของคณะแพทย์ มหิดล พบว่ากว่า 35% ของเภสัชกรเคยโทรถามหมอเพื่อเช็กชื่อหรือวิธีใช้ยากรณีอ่านได้ไม่ชัวร์ เพราะ"ความปลอดภัยผู้ป่วยต้องมาก่อน"

เภสัชกรเช็คอะไรบ้างก่อนจ่ายยา

เภสัชกรเช็คอะไรบ้างก่อนจ่ายยา

เภสัชกรไม่ได้แค่ดูชื่อแล้วยื่นยาให้เสร็จจบ ก่อนสรุปว่าจะจ่ายยาตามใบสั่ง ต้องดู 4 อย่างนี้เสมอ:

  • ชื่อยา: ต้องชัวร์ 100% ว่ายาถูก ไม่ผิดชื่อ หรือสารออกฤทธิ์คล้ายกันแต่ขนาดต่างกัน
  • ขนาดยาต่อโดส: เช่น Amoxicillin 500 mg กินเช้าเที่ยงเย็น วันละ 3 เม็ด ไม่ใช่ 250 mg
  • วิธีใช้: ดูว่าต้องก่อนอาหาร หลังอาหาร หรือระบุเวลา เช่น insulin ฉีดก่อนอาหารเท่านั้น
  • ข้อควรระวัง: อาการแพ้ ประวัติใช้ยาเดิม หรือยาที่ใช้อยู่ชนกันมั้ย (Drug Interaction)

กรณีผู้ป่วยเด็ก น้ำหนักตัวสำคัญมาก เภสัชกรต้องคำนวณขนาดยาทุกครั้ง เช่น Paracetamol สำหรับเด็กคำนวณที่ 10–15 mg/กก./ครั้ง โดยยาตามน้ำหนักตัวตามจริงไม่ใช่ประมาณการ การพลาดจ่ายยาขาดหรือเกินมีผลต่อการรักษาเด็กได้มากกว่าผู้ใหญ่

สัญลักษณ์ย่อและคำเฉพาะบนใบสั่งยา

ใครไม่คุ้นกับสูตรย่อบนใบสั่งยาอาจมึนงงได้ตลอดเวลา ลองดูตัวอย่างเช่น "PO" (per os) = รับประทานทางปาก, "BID" = วันละ 2 ครั้ง, "TID" = วันละ 3 ครั้ง, "HS" = ก่อนนอน, "PC" = หลังอาหาร "OD" = ตาข้างขวา เป็นต้น ที่มาของย่อเหล่านี้มาจากภาษาละตินในอดีต (เภสัชกรต้องรู้หมด ไม่งั้นจ่ายผิดแน่ๆ)

  • PO: รับประทาน
  • BID: วันละ 2 ครั้ง
  • TID: วันละ 3 ครั้ง
  • QID: วันละ 4 ครั้ง
  • HS: ก่อนนอน
  • PRN: ใช้เมื่อจำเป็น
  • AC: ก่อนอาหาร
  • PC: หลังอาหาร

อีกอย่างที่เจอคือสูตรคำนวณขนาดหรือปริมาณ เช่น “Disp 30 tabs” = สั่งจ่าย 30 เม็ด “1 tab q8h” = 1 เม็ดทุก 8 ชั่วโมง บ่อยครั้งที่คนไข้เองอ่านไม่ออก แต่เภสัชกรต้องเข้าใจทันทีว่าแบบนี้จ่ายอย่างไร เวลามีเคสพิเศษ เช่น ยาเฉพาะทางหรือ anticancer (ยาต้านมะเร็ง) จะมีสัญลักษณ์สั้นๆ กำกับเพื่อกันจ่ายผิด เช่น "Chemo" = เคมีบำบัด

เคล็ดลับชัวร์ก่อนรับยา: สิ่งที่ควรถามเภสัชกร

เคล็ดลับชัวร์ก่อนรับยา: สิ่งที่ควรถามเภสัชกร

ผู้ป่วยที่สงสัยหรือไม่แน่ใจ แต่ปล่อยผ่าน ไม่กล้าถาม บางครั้งจึงมีปัญหากับการใช้ยาอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งง่ายๆ คือเช็กข้อมูลบนฉลากยาก่อนออกจากร้าน เช่น:

  • ชื่อยาและข้อบ่งใช้ถูกต้อง
  • ขนาดยาตรงกับที่หมอสั่ง
  • วิธีใช้ชัดเจน อ่านแล้วเข้าใจแจ่มแจ้ง
  • วันหมดอายุยา, ลักษณะเม็ดยาควรตรงกับคู่มือ
  • ถามเภสัชกรถึงอาการแพ้หรือผลข้างเคียงที่ควรระวัง

จากรายงานขององค์การอนามัยโลก "กว่า 50% ของคนไข้ใช้ยาไม่ตรงตามวิธี แรงจูงใจหลักคือไม่เข้าใจข้อมูลในฉลากและใบสั่งยา" การถามเภสัชกรหรือเช็กข้อมูลก่อนออกจากร้านเลยช่วยลดปัญหานี้ได้มาก ไม่มีคำถามไหนที่น่าอายถ้าคุณยังสงสัย ความจริงคือ "ข้อมูลดีๆ ช่วยชีวิตได้"

สถิติจากโรงพยาบาลจุฬา เคสจ่ายยาผิดเพราะอ่านใบสั่งผิดอยู่แค่ 1-5 เคสต่อหมื่นใบสั่งยาเท่านั้น นั่นเพราะมาตรฐานการอ่าน การเช็กซ้ำ และการสื่อสารระหว่างทีมแพทย์-เภสัชกร

"เภสัชกรคือด่านแรกที่ช่วยกันไม่ให้ความผิดพลาดทางยาเกิดขึ้น การอ่านใบสั่งยาถูกต้องจึงถือเป็นงานสำคัญที่สุดในสายงานนี้" — รศ.ดร. ประภาศรี อึ้งตระกูล ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ
ข้อมูล/ตัวชี้วัด รายละเอียด
โอกาสจ่ายยาผิดในร้านยา 1 ใน 100 ฉบับ (ลดลงเหลือ 1–5 ต่อหมื่นใบสั่งเมื่อมีซ้ำสอง-สามขั้นตอน)
ผู้ใช้ยาใช้ยาผิดวิธี มากกว่า 50% (จาก WHO)
เภสัชกรไทยเคยโทรถามหมอเรื่องใบสั่ง 35% ตามผลสำรวจ คณะแพทย์ ม.มหิดล

จริงๆ แล้ววิธีอ่านใบสั่งยาไม่ใช่วิทยาศาสตร์จรวด ถ้ารู้จุดสำคัญ ขยันถาม เภสัชกรก็พร้อมช่วยทุกคำถามเสมอ เพราะความปลอดภัยของผู้ใช้ยาเป็น ความปลอดภัยยา สำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดหรือวันธรรมดา เคล็ดลับคือ เช็ก ขอโทษ ถามจนมั่นใจ แล้วค่อยรับยาไปใช้จริง

แชร์:

เขียนความคิดเห็น