blog

เมื่อพูดถึง Layer 2 scaling ผู้คนมักนึกถึงวิธีที่ทำให้บล็อกเชนสามารถทำธุรกรรมได้เร็วขึ้นและค่าใช้จ่ายลดลง แต่จริง ๆ แล้วเทคโนโลยีนี้ทำงานอย่างไร? บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกขั้นตอนการทำงานของ Layer 2, ชนิดต่าง ๆ ที่ใช้กันอยู่ในตลาด, และข้อดี‑ข้อเสียที่ควรพิจารณา ก่อนจะสรุปด้วย FAQ ที่ตอบคำถามที่พบบ่อยที่สุด

พื้นฐานของบล็อกเชนและความต้องการขยายขนาด

บล็อกเชนเป็นระบบฐานข้อมูลแบบกระจายที่บันทึกธุรกรรมในรูปแบบของบล็อกต่อเนื่อง ความปลอดภัยมาจากการใช้การเข้ารหัสและการยอมรับของเครือข่าย (consensus) อย่างไรก็ตาม การทำงานบนชั้นพื้นฐาน (Layer 1) เช่น Ethereum มีข้อจำกัดด้านอัตราการประมวลผล (transaction throughput) ที่ประมาณ 15‑30 รายการต่อวินาที ทำให้ค่า gas fee แรงขึ้นเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก

แนวคิดหลักของ Layer 2 Scaling

Layer 2 หมายถึงโซลูชันที่ทำงานนอกเครือข่ายหลัก แต่ยังคงอิงข้อมูลสำคัญกลับไปยัง Layer 1 เพื่อรับประกันความปลอดภัย การแบ่งงานออกเป็นสองชั้นช่วยให้สามารถประมวลผลธุรกรรมจำนวนมากในบล็อกเชนหลักได้โดยไม่ทำให้ประสิทธิภาพของ Layer 1 ลดลง

ประเภทของโซลูชัน Layer 2 ที่นิยม

  • Rollup - รวบรวมหลายธุรกรรมไว้ในบล็อกเดียว แล้วส่งข้อมูลสรุป ( calldata ) ไปยัง Layer 1 ทั้งแบบ Optimistic Rollup และ Zero‑Knowledge Rollup (ZK‑Rollup)
  • Sidechain - เครือข่ายอิสระที่มี consensus ของตนเอง แต่สามารถส่งสินทรัพย์ระหว่างกับ Layer 1 ผ่านกลไกของ bridge
  • State Channel - เปิดช่องทางการสื่อสารระหว่างผู้ใช้สองฝ่ายเพื่อบันทึกธุรกรรมหลาย ๆ รายการโดยไม่ต้องอัปเดตบล็อกทุกครั้ง
  • Plasma - สร้าง child chain ย่อยที่ทำหน้าที่เป็น “หก” ของระบบหลัก โดยให้ผู้ใช้ยืนยันสถานะผ่านการส่ง Merkle proof กลับไปยัง Layer 1

ขั้นตอนการทำงานของ Rollup อย่างละเอียด

Rollup เป็นโซลูชันที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากรักษาความปลอดภัยระดับ Layer 1 ได้อย่างเต็มที่ วิธีการทำงานสรุปได้ดังนี้:

  1. ผู้ใช้ส่งธุรกรรมไปยัง Rollup operator หรือ smart contract บน Layer 2
  2. Operator ทำการรวมธุรกรรมหลายรายการเป็นชุดเดียว (batch) แล้วสร้างข้อมูลสรุป (state root) พร้อม proof (สำหรับ ZK‑Rollup) หรือใส่หมายเหตุว่าเป็น “optimistic” (สำหรับ Optimistic Rollup)
  3. ข้อมูลสรุปเหล่านี้ถูกส่งไปยัง smart contract บน Layer 1 เพื่อบันทึกหลักฐานและเปิดช่องทางให้ผู้ใช้ตรวจสอบได้
  4. ในกรณี Optimistic Rollup จะมีระยะเวลาการท้าทาย (challenge period) ที่ผู้ใช้สามารถยื่นข้อโต้แย้งหากพบการคำนวนผิดพลาด ส่วน ZK‑Rollup จะยืนยันความถูกต้องด้วยการพิสูจน์แบบ zero‑knowledge ทันที
  5. เมื่อข้อมูลได้รับการยืนยันบน Layer 1 ธุรกรรมทั้งหมดใน batch จะถือว่าถูกบันทึกอย่างถาวร
แผนภาพไอซอเมตริกขั้นตอนทำงานของ Optimistic และ ZK‑Rollup

ประโยชน์หลักของ Layer 2 Scaling

  • เพิ่มอัตราการทำธุรกรรม (throughput) ถึงหลายร้อยหรือหลายพันรายการต่อวินาที
  • ลดค่า gas fee อย่างมาก ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถทำการโอนหรือทำ smart contract ได้อย่างคุ้มค่า
  • รักษาความปลอดภัยระดับเดียวกับ Layer 1 เนื่องจากหลักฐานสุดท้ายยังคงอยู่บนบล็อกเชนหลัก
  • สนับสนุนแอปพลิเคชันที่ต้องการประมวลผลเร็ว เช่น DeFi, NFT marketplaces, เกมบนบล็อกเชน

ข้อควรระวังและข้อจำกัดของ Layer 2

  • ความซับซ้อนของสถาปัตยกรรม ทำให้การพัฒนาและการตรวจสอบความปลอดภัยต้องใช้ทรัพยากรสูง
  • บางโซลูชัน (เช่น Optimistic Rollup) มีระยะเวลาการท้าทายที่อาจทำให้การถอนเงินช้ากว่าเครือข่ายหลักหลายวัน
  • การเชื่อมต่อกับ bridge หรือ validator ของ Sidechain อาจเปิดช่องทางให้เกิดโจมตีแบบ “bridge hack”
  • การอัปเดตเมทาดาต้าหรือมาตรฐานใหม่อาจทำให้ผู้ใช้ต้องย้ายไปยังรุ่นล่าสุดของ Layer 2

เปรียบเทียบ Optimistic Rollup กับ ZK‑Rollup

เปรียบเทียบ Optimistic Rollup กับ ZK‑Rollup
คุณลักษณะ Optimistic Rollup ZK‑Rollup
หลักฐานความถูกต้อง เชิงสมมติ (optimistic) + ช่วงท้าทาย 1‑7 วัน Zero‑knowledge proof (ZK‑SNARK/ZK‑STARK) ยืนยันทันที
การรองรับสภาพแวดล้อม รองรับ EVM อย่างเต็มที่ จำกัดฟังก์ชันบางอย่าง ต้องแปลงเป็น zk‑compatible
ความเร็วในการยืนยัน เร็วเมื่อไม่มีการท้าทาย เร็วมาก เนื่องจากพิสูจน์เสร็จภายในบล็อกเดียว
ค่าใช้จ่ายในการสร้าง proof ต่ำ (ไม่มี proof) สูง (คอมพิวเตอร์หนัก)
ความปลอดภัย พึ่งพาช่วงท้าทายเพื่อป้องกัน fraud ขับขี่ด้วย cryptographic proof ไม่สามารถหลอกได้
เมืองอนาคตแสดงการใช้งาน Arbitrum, zkSync และ Polygon ใน DeFi, NFT และเกม

เช็คลิสต์การประเมิน Layer 2 ที่เหมาะกับโครงการของคุณ

  • ต้องการความเร็วสูงหรือไม่? (เลือก Rollup หรือ Sidechain)
  • ยอมรับความซับซ้อนของการพัฒนาแค่ไหน? (ZK‑Rollup ต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้าน cryptography)
  • ต้องการความปลอดภัยระดับใด? (Optimistic Rollup มีช่วงท้าทาย, ZK‑Rollup มี proof ช่วยยืนยัน)
  • ต้องการรองรับการโต้ตอบกับสัญญาอัจฉริยะบน Ethereum อย่างเต็มรูปแบบหรือไม่? (Optimistic Rollup ดีกว่า)
  • ต้องการค่าใช้จ่ายต่อธุรกรรมต่ำที่สุด? (Sidechain หรือ ZK‑Rollup ที่มี proof ค่าธรรมเนียมสูงอาจไม่เหมาะ)

ตัวอย่างการใช้งานจริงในปี 2025

หลายโปรเจกต์ในระบบนิเวศของ Ethereum ได้ใช้งาน Layer 2 อย่างกว้างขวาง ตัวอย่างเช่น:

  • Arbitrum - Optimistic Rollup ที่ให้ความเร็วสูงและค่า gas fee ต่ำ เหมาะกับ DeFi เช่น Uniswap v4
  • zkSync - ZK‑Rollup ที่มุ่งเน้นการทำธุรกรรม NFT ด้วยค่า fee เพียงไม่กี่เซ็นต์
  • Polygon - Sidechain ที่ให้การรองรับหลายโซลูชันในเครือข่ายเดียว ทำให้เกมบนบล็อกเชนสามารถประมวลผลหลายพันรายการต่อวินาที

ด้วยการผสาน Layer 2 เข้ากับแอปพลิเคชันของคุณ คุณจะเห็นการลดค่าใช้จ่ายและความหน่วงเวลาที่เด่นชัด ทำให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ราบรื่นกว่าเดิม

สรุปความสำคัญของ Layer 2 Scaling

โดยสรุป Layer 2 scaling คือเครื่องมือที่ทำให้บล็อกเชนสามารถรองรับการใช้งานในระดับมวลชนได้โดยไม่เสียสละความปลอดภัย การเลือกโซลูชันที่เหมาะสมต้องคำนึงถึงความต้องการด้านความเร็ว, ค่าใช้จ่าย, ความปลอดภัย, และความซับซ้อนของการพัฒนา

คำถามที่พบบ่อย

Layer 2 คืออะไรและทำงานอย่างไร?

Layer 2 คือโซลูชันที่ประมวลผลธุรกรรมนอกเครือข่ายหลักแล้วบันทึกหลักฐานสรุปกลับไปยัง Layer 1 เพื่อรักษาความปลอดภัย ทำให้ระบบสามารถทำธุรกรรมได้เร็วขึ้นและค่าใช้จ่ายต่ำลง

ความแตกต่างระหว่าง Optimistic Rollup กับ ZK‑Rollup มีอะไรบ้าง?

Optimistic Rollup ทำงานแบบสมมติและให้ช่วงเวลาท้าทายเพื่อป้องกันการฉ้อโกง ส่วน ZK‑Rollup ใช้ zero‑knowledge proof เพื่อยืนยันความถูกต้องในทันที ทั้งสองมีข้อดี‑ข้อเสียด้านค่าใช้จ่าย, ความเร็ว, และความซับซ้อนของการพัฒนา

ฉันควรเลือก Sidechain หรือ Rollup สำหรับแอปพลิเคชัน DeFi ของฉัน?

ถ้าต้องการความเข้ากันได้เต็มรูปแบบกับสัญญาอัจฉริยะของ Ethereum และยอมรับความหน่วงเวลาเล็กน้อย, Rollup (โดยเฉพาะ Optimistic) เป็นตัวเลือกที่ดี;หากต้องการค่าธรรมเนียมต่ำสุดและความเร็วสูงสุดโดยไม่ต้องการการท้าทาย, Sidechain เช่น Polygon อาจเหมาะกว่า

Layer 2 มีผลต่อความปลอดภัยของสินทรัพย์อย่างไร?

หลักฐานสุดท้ายยังคงอยู่บน Layer 1 ทำให้การโจมตีต้องทำลายเครือข่ายหลักด้วยเช่นกัน ดังนั้นความปลอดภัยของ Layer 2 จึงขึ้นกับการออกแบบของ proof หรือช่วงท้าทายของโซลูชันนั้น ๆ

ผมต้องทำอะไรบ้างเพื่อย้ายสินทรัพย์จาก Layer 1 ไปยัง Layer 2?

ขั้นตอนพื้นฐานคือใช้ bridge หรือ smart contract ของ Layer 2 ที่คุณเลือก - ส่งสินทรัพย์ไปยัง address ของ bridge แล้วรอให้บล็อกเชนหลักยืนยันการล็อกสินทรัพย์ หลังจากนั้นสินทรัพย์จะปรากฏบน Layer 2 พร้อมให้ใช้ได้ทันที

แชร์:

เขียนความคิดเห็น